“บล็อกเชน” เป็นคำแรกๆที่เมื่อใครได้ยินก็คงยอมแพ้ที่จะทำความเข้าใจกับมัน ด้วยศัพท์ทางเทคโนโลยีที่น่ากลัว หรือที่เรามักจะได้ยินคนอธิบายกันว่า
“บล็อกเชนคือ เครือข่ายเก็บข้อมูลแบบหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและรับข้อมูลแบบเดียวกัน”
ซึ่งใช่ บล็อกเชนทำหน้าที่เก็บข้อมูล แต่เกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกคริปโทกันแน่ล่ะ
ถ้าเราเปรียบเทียบโลกคริปโทมาเป็นโลกคู่ขนานของเรา และในแต่ละเกาะที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นก็จะมีบล็อกเชนเป็นโครงสร้างหลักของเกาะ โดยหนึ่งเกาะก็จะมีหนึ่งบล็อกเชนเป็นของตัวเองและมีสกุลเงินที่ใช้กันโดยเฉพาะ
เช่น บนเกาะบิทคอยน์ (Bitcoin) ก็จะมีบล็อกเชนของบิทคอยน์และใช้สกุลเงินบิทคอยน์ (BTC) ส่วนบนเกาะอีเธอเลียม(Ethereum) ก็จะมีบล็อกเชนของอีเธอเลียมและใช้สกุลเงิน อีเธอร์(ETH) และยังมีเกาะอื่นๆอีกมากมาย

โดยทุกเกาะที่มีโครงสร้างเป็นบล็อกเชนนั้น ก็จะนำบล็อกเชนไปดัดแปลงเพื่อเป็นจุดขายของแต่ละเกาะ เพื่อที่จะดึงดูดให้บริษัทต่างๆเข้ามาทำธุรกิจบนเกาะ ซึ่งจุดขายของแต่ละเกาะคืออะไร และธุรกิจต่างๆคืออะไร เราจะมาอธิบายในบทต่อไป แต่ตอนนี้ เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับวิธีทำงานของเทคโนโลยีบล็อกเชนก่อนว่าทำไมคนเขาถึงพูดกันว่าบล็อกเชนนั้นโปร่งใสและตรวจสอบได้
เทคโนโลยีของบล็อกเชนสามารถเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆด้วยการยกตัวอย่างการทำธุรกรรมการเงินบนเกาะ สมมติว่า บนเกาะประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีบล็อกเชน จะมีธนาคารกลางเพียงแห่งเดียวของเกาะนี้ หากใครต้องการที่จะโอนเงินให้กัน จะต้องเดินเข้ามาที่ธนาคารแห่งนี้ และแลกเงินกันให้เจ้าของธนาคารเห็น นี่คือระบบการเงินแบบมีตัวกลาง หรือ “Centralized Finance” นั่นเอง เพราะทุกธุรกรรมถูกควบคุมด้วยเจ้าของธนาคาร ซึ่งเจ้าของธนาคารนั้นจะมีสมุดไว้คอยจดธุรกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น “สมศรี โอนเงินให้ สมหมาย 100 บาท”
ทุกการส่งเงินจะมีการจดเสมอ แต่ถ้าวันหนึ่งมีคนขโมยสมุดจดนี้ไปได้ และแก้ข้อความ หรือจำนวนเงินว่า “สมศรี โอนเงินให้ สมหมาย 1000 บาท” ก็จะกลายเป็นว่า สมหมายได้เงินจากสมศรีไม่ครบ และสามารถนำข้อความในสมุดนี้มาท้วงเงินจากสมศรีได้ เนื่องจากข้อความที่เจ้าของธนาคารจดไว้จะถูกนับว่าเป็นความจริงเสมอ
แต่หากเกาะที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างเกาะบิทคอยน์ ที่ทำงานแบบ ไม่มีตัวกลาง หรือ “Decentralized Finance” แปลว่าใครที่ต้องการที่จะโอนเงินให้กันไม่จำเป็นต้องไปแค่ธนาคารกลางอีกต่อไป ทุกคนที่จะทำธุรกรรมจะเดินมาที่ตรงกลางเกาะ และแลกเงินกันให้คนทั้งเกาะดู ส่วนคนทั้งเกาะนั้นก็จะมีอาสาสมัครที่จะมาจดธุรกรรมต่างๆนี้ใส่สมุดของตัวเองไว้ เช่น “สมศรี โอนเงินให้ สมหมาย 100 บาท”
ในกรณีนี้ หากสมหมายหรือใครที่ต้องการจะแก้ข้อความนี้ จะต้องไปแก้ในสมุดทุกเล่มของคนในเกาะที่จดเอาไว้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากเกาะนี้มีคนอาศัยอยู่ถึงหลายล้านคน และถามว่าทำไมคนจะต้องอยากอาสาเพื่อมาจดอะไรแบบนี้ด้วย ก็เพราะว่าถ้าใครจดได้เร็ว และถูกต้องก่อนใครเพื่อน ก็จะได้ส่วนแบ่งของการโอนเงินนั้นๆไป เช่น สมชาย เป็นคนแรกที่จดว่า “สมศรี โอนเงินให้ สมหมาย 100 บาท” เสร็จคนแรก สมชายก็อาจจะได้เงิน 5 บาท เป็นส่วนแบ่งจากการโอนครั้งนี้ ซึ่งนั่นเป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามาช่วยกันจดธุรกรรมพวกนี้
ซึ่งถ้าให้วนกลับมาที่โลก บล็อกเชนจริงๆก็จะเปรียบเทียบได้ดั่งนี้

· การโอนเงินของสมศรีไปยังสมหมายก็คือ เวลาที่เราส่งบิทคอยน์หรือเหรียญต่างๆจาก Wallet นึงไปอีก Wallet นึง
· คนในหมู่บ้านที่คอยช่วยจดก็คือกลุ่มคนที่เราเรียกว่า นักขุด หรือ Validator
· สมุดและปากกาในมือพวกเขาก็คือ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องขุด
· กริยาของการจดก็คือ เวลาที่คอมพิวเตอร์นั้นแก้โจทย์บล็อกเชน ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นโจทย์เลขที่ยากมาก จึงต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้
· และสุดท้ายความเร็วของการจดก็คือ ความเร็วของคอมพิวเตอร์หรือเครื่องขุดนั้นแก้โจทย์บล็อกเชน ซึ่งคนที่เข้ามาขุดตรงนี้ก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเหรียญต่างๆจากค่าธรรมเนียมที่ผู้โอนจ่ายนั่นเอง
และเมื่อมองภาพรวมให้กว้างออกมา ในแต่ละเกาะที่อยู่ในโลกคริปโทนั้นล้วนดำเนินการด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่นักขุดนั้นสามารถขุดที่เกาะไหนก็ได้ที่ตัวเองต้องการ หรือการจะขุดทั้งสองเกาะก็ไม่ได้เป็นปัญหา ดั่งรูปนี้เป็นต้น

อาจจะเกิดคำถามจากข้อมูลด้านบนว่า Wallet คืออะไร
ถ้าให้เปรียบกับโลกเรา Wallet ก็คล้ายกับบัญชีธนาคารของเรานั่นเอง โดยเราสามารถสร้าง Wallet ไว้ได้หลายที่ และมีเลข Wallet ที่ต่างกันไปในแต่ละที่ เหมือนกับการสร้างบัญชีธนาคารและมีเลขที่บัญชีธนาคารต่างๆเลย
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ เวลาเราไปเปิดบัญชีที่ธนาคารต่างๆ เขาจะนำข้อมูลในบัตรประชาชนของเราเชื่อมต่อกับเลขบัญชีของเราไว้โดยตรง ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่า เลขที่บัญชีนี้เป็นของใคร และทำการโอนเงินไปไหนบ้าง แต่ใน Wallet นั้น ถึงจะมีเลข Wallet เหมือนกัน แต่ตัวเลขนั้นไม่ได้เชื่อมต่อไว้กับข้อมูลส่วนตัวของเรา ทำให้การตามหาเจ้าของ Wallet นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งนั่นก็มีประโยชน์ต่อความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมการเงิน แต่ก็มีความอันตรายซ่อนอยู่เหมือนกัน
(ซึ่งเดี๋ยวจะมีตอนพิเศษเจาะลึกเรื่อง Wallet ฝากติดตามด้วยนะคะ)
ส่วนประโยชน์ของบล็อกเชนนั้นมีมากมาย ข้อดีหลักๆของบล็อกเชนเลยก็คือความโปร่งใส การโกงกันบนโลกบล็อกเชนเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะข้อมูลที่ถูกอัพโหลดขึ้นมาบนโลกบล็อกเชนนั้นกลับไปลบหรือแก้ไขไม่ได้
บล็อกเชนไม่ได้มีไว้เพียงแค่เก็บข้อมูลทางการเงินเหล่านี้เท่านั้น แต่สามารถนำไปพลิกแพลงมาต่อยอดเพื่อทำประโยชน์ได้หลากหลายมาก ซึ่งนั่นก็คือการทำธุรกิจจากทรัพยากรต่างๆบนเกาะที่เรากล่าวไว้นั่นเอง ในตอนต่อไปเราจะมาอธิบายเรื่องทรัพยากรบนเกาะบล็อกเชนต่างๆ และบริษัทที่เข้ามาทำธุรกิจบนเกาะนั้น เขาทำอะไรกัน
สามารถติดตามตอนต่อไปได้ทาง Medium แล้วก็ Facebook Page: มะ เขียน นะคะ