จากตอนที่แล้ว ที่เราเริ่มเห็นภาพรวมการทำงานของบล็อกเชนในระดับนึง ในตอนนี้เราจะมาลงลึกกันไปอีก ถึงจุดขายของแต่ละเกาะในโลกคริปโทและธุรกิจต่างๆที่เข้ามาบนเกาะ
ตัวอย่างแรกที่จะเห็นภาพง่ายที่สุดคือบนเกาะบิทคอยน์ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อให้คนโอนเงินกันไปมาได้อย่างที่ยกตัวอย่างไปในตอนที่แล้ว พูดง่ายๆก็คือจุดขายหนึ่งเดียวบนเกาะบิทคอยน์ก็คือตู้เอทีเอ็มที่สามารถโอนบิทคอยน์กันไปมาได้อย่างเดียว และตัวสกุลเงินบิทคอยน์นั้นก็เหมือนเป็นทองบนเกาะนั้น ซึ่งทำให้เกิดการเก็งกำไรขึ้น แต่นักธุรกิจไม่สามารถเข้าไปสร้างธุรกิจบนเกาะบิทคอยน์ เพราะตัวเทคโนโลยีบนเกาะบิทคอยน์ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้นักธุรกิจนำไปต่อยอดได้
แต่แล้วก็มีบล็อกเชนของเกาะอีเธอเลียมเกิดขึ้นมา ที่ถูกพัฒนาเป็น Base Layer Protocol ซึ่งก็เหมือนการเตรียมหน้าดินและทรัพยากรให้พร้อมเพื่อให้นักธุรกิจสามารถเข้ามาสร้างธุรกิจบนเกาะได้ง่ายและสะดวกกว่า และทรัพยากรที่เกาะอีเธอเลียมมีก็คือการนำเทคโนโลยี Smart Contracts หรือ สัญญาดิจิตัล มาทำงานอยู่บนบล็อกเชน ซึ่งตัวสัญญานี้จะถูกเขียนไว้ด้วยภาษา Code นักธุรกิจที่จะเข้ามาในเกาะนั้นสามารถนำ Code ของเกาะอีเธอเลียมไปดัดแปลง และต่อยอดในการทำธุรกิจบนเกาะได้ตามที่ใจอยากเลย
เกาะอีเธอเลียมก็จะได้ส่วนแบ่งจากธุรกิจต่างๆเป็นค่าธรรมเนียมในการทำหนึ่งธุรกรรม และผู้ใดที่เข้ามาทำธุรกรรมกับธุรกิจบนเกาะจะจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นสกุลเงินของเกาะ นั่นก็คือ ETH ซึ่งทำให้สกุลเงินนี้มีค่าขึ้นมานั่นเอง
คำถามถัดมาคือ สัญญาดิจิตัล หรือ Smart Contracts ที่เราพูดกันเนี่ย มันคืออะไรกันแน่ และมันต่างจากเอทีเอ็มที่เกาะบิทคอยน์มียังไง
สัญญาดิจิตัลมีความสามารถเหมือนสัญญาจริงๆบนโลกเราเลยนี่แหละ สามารถนำมาเขียนเป็นข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนเงิน สิ่งของหรือจะดัดแปลงไปเป็นสัญญากู้ยืมเงิน และอื่นๆอีกมากแล้วแต่จะนำไปดัดแปลงเลย แต่จะแตกต่างจากสัญญาจริงก็ตรงที่ตัวสัญญาดิจิตัลนั้นค่อนข้างเชื่อถือได้ แม้บุคคลสองคนจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม แถมยังเป็นสัญญาที่เปิดเผยให้คนทั้งโลกมานั่งอ่านได้ถึงข้อตกลงต่างๆอีกด้วย
ในโลกจริง หากนายA ต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับ นายB แต่ นายA อาจจะเกิดการไม่เชื่อใจ นายB ว่าเขาจะนำของมาแลกตามที่ตกลงกันไหม จึงต้องเกิดการเขียนข้อกำหนดต่างๆและร่างเป็นสัญญาขึ้นมา พร้อมกับมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้คนสองคนเชื่อใจกันว่าจะได้สิ่งของตามที่ตกลงกันไว้จริงๆ
แต่ในโลกคริปโทที่มีการทำสัญญาดิจิตัลนั้น ไม่ต้องมีการเชื่อใจของคนสองคน หรือกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นการเขียนสัญญาขึ้นมาในรูปแบบของภาษา Coding ซึ่งสามารถใส่ข้อตกลงได้เหมือนสัญญาจริงๆเลย หากแต่สัญญาดิจิตัลนี้ จะดำเนินการโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น นายA ต้องการแลกดินสอหนึ่งแท่ง กับยางลบหนึ่งก้อนครึ่ง นายA ก็จะเขียนสัญญานี้ลงไปในโลกคริปโท และให้คนอื่นๆมาอ่านสัญญานี้ และใครที่มียางลบก้อนครึ่งและเห็นด้วยที่จะแลกเป็นดินสอหนึ่งแท่ง ก็สามารถมากด Approve ที่สัญญาของนายA ได้เลย และด้วยเทคโนโลยีสัญญาดิจิตัลก็จะเกิดการสลับ ดินสองหนึ่งแท่งกับยางลบหนึ่งก้อนครึ่งได้ทันทีเลย โดยที่คนสองคนไม่ต้องรู้จักหรือเจอกันด้วยซ้ำ

สัญญาดิจิตัลนั้นทำตัวเหมือนเป็นแท่นตรงกลางระหว่างคนสองคน ที่เมื่อคนสองคนวางของลงมาที่แท่นตรงกลางและตรงกับข้อตกลงในสัญญาทุกอย่าง แท่นตรงกลางก็จะสลับของสองสิ่งให้โดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดการโกงกันน้อยและเชื่อถือได้ และสัญญานี้ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนอีก แปลว่า จะมีคนที่เป็น นักขุด หรือ Validator มายืนยันการโอนเงินหรือการแลกเปลี่ยนต่างๆทำให้การแลกเปลี่ยนทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้และยากต่อการแฮค
ก็เหมือนกับเกาะอีเธอเลียมได้เตรียมเทคโนโลยีสัญญาดิจิตัลไว้ให้นักธุรกิจ และสามารถนำไปปรับแต่งข้อตกลง หรือพลิกแพลงได้หลายรูปแบบตามแต่นักธุรกิจจะคิดเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ นักธุรกิจเริ่มนำสัญญานี้ไปพลิกแพลงเป็นธุรกิจที่ตัวเองต้องการจะทำ นั่นก็คือการกู้ยืมเงิน การนำเงินเข้ามาฝากและได้ดอกเบี้ยต่อปี หรือการซื้อขาย ประมูลผลงานศิลปะดิจิตัล ซึ่งก็จะเป็นคำศัพท์ที่เราคุ้นเคยกันอย่าง De-Fi, NFTs, Staking, Farming หรือ Liquidity Pool พวกนี้เป็นเหมือนสินค้าที่สร้างขึ้นจากนักธุรกิจที่นำ Smart Contracts ไปดัดแปลง
โดยแต่ละบริษัทก็อาจจะมีเหรียญเฉพาะของบริษัทนั้นๆที่เราเรียกว่า Tokens หรือบางบริษัทอาจจะไม่มีก็ได้เหมือนกัน ตัวอย่างของ Token ที่อาศัยอยู่บนเกาะอีเธอเลียมก็จะมี USDT, UNI, OMG, KNC ที่เราเห็นกันบ่อยๆ โดยแต่ละ Token ก็จะมีบทบาทที่ต่างกันไป และนี่คือส่วนหนึ่งของบริษัทที่สร้างขึ้นมาบนเกาะอีเธอเลียม จะเห็นได้ว่ามีธุรกิจที่หลากหลายมาก ก็เหมือนว่าเกาะอีเธอเลียมเป็นเมืองหลวงที่มีทรัพยากรพร้อม นักธุรกิจก็แห่กันเข้ามาทำธุรกิจ ซึ่งเดี๋ยวจะค่อยๆมีบทความเจาะลึกในแต่ละธุรกิจในตอนถัดๆไป

แต่ก็ไม่ใช่ว่าสัญญาดิจิตัลนั้นจะไม่มีข้อเสียเลย ไม่ใช่ทุกสัญญาดิจิตัลนั้นเชื่อใจได้ เพราะก็เหมือนในโลกจริง ถ้าหากมีช่องโหว่ในตัวสัญญา ก็เป็นไปได้เหมือนกันที่เราจะโดนโกง หรือว่าโดนแฮคเกอร์เข้ามาแฮคบริษัทนั้นๆ และขโมยเงินเราออกไปได้เหมือนกัน
เนื่องจากสัญญาดิจิตัลที่อยู่บนบล็อกเชนนั้นเปิดเผยต่อสาธารณะ ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านตัวสัญญาและค้นหาช่องโหว่ของสัญญาได้ ทำให้มีอาชีพเกิดขึ้นอีกหนึ่งอาชีพก็คือ Auditor หน้าที่ของพวกเขาคือเข้ามาตรวจสอบสัญญาว่าไม่มีช่องโหว่ และอนุมัติว่าสัญญาของบริษัทไหนที่เชื่อถือได้บ้าง โดยความน่าเชื่อถือของแต่ละบริษัท ก็ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของ Auditor ที่เข้ามาตรวจสอบเหมือนกัน เพราะบางบริษัทก็อาจจะถูกอนุมัติโดย Auditor ที่ไม่น่าเชื่อถือก็เป็นได้ นั่นแปลว่า ก่อนที่เราจะนำเงินของเราไปลงทุนกับสินค้าต่างๆของบริษัทพวกนี้ เราควรจะศึกษาทั้งตัวบริษัท ทั้ง Auditor ของบริษัทด้วยนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น Pancakeswap ที่น่าจะเป็นที่คุ้นหูกัน และเป็นหนึ่งในบริษัท De-Fi ที่น่าเชื่อถือระดับหนึ่ง ก็เคยถูกโดนแฮคเมื่อต้นปีที่ผ่านมาและมีลูกค้าถูกขโมยเงินออกไปเหมือนกัน ซึ่งน่าจะเกิดจากช่องโหว่ของโปรแกรมและทำให้แฮคเกอร์สามารถเจาะระบบเข้ามาและหาวิธีขโมยเงินได้ ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นทำให้ Token ของ Pancakeswap ที่ชื่อว่า CAKE ราคาร่วงลงอย่างทันที เพราะลูกค้าเกิดความไม่เชื่อใจ และแห่กันถอนเงินของตัวเองออก
เกาะอีเธอเลียมเป็นเกาะแรกที่สร้าง Base Layer Protocol ขึ้นมาก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเกาะอีเธอเลียมจะเป็นเพียงเกาะเดียวในโลกคริปโทที่ทำบล็อกเชนแบบนี้ขึ้นมา ยังมีอีกหลายเกาะที่พยายามสร้างสิ่งคล้ายๆกันเพื่อมาเป็นคู่แข่งกับอีเธอเลียมเช่นกัน อย่าง Binance Smart Chain(BSC), Cardano(ADA) และ Polkadot(DOT) ก็เป็นอีกสามเกาะที่เตรียมพื้นดินไว้สำหรับสัญญาดิจิตัลเหมือนกัน
แต่ละเกาะก็จะมีจุดขายต่างกันเพื่อแข่งกับอีเธอเลียม เพราะหลังๆมานี้ เกาะอีเธอเลียมนั้นค่อนข้างมีคนใช้เยอะ ทำให้บางทีการโอนเงินค่อนข้างช้า หรือค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้นอีกหลายเท่าตัว คนก็เลยเริ่มหันไปมองเกาะคู่แข่งมากขึ้น
ถึงแม้เกาะอีเธอเลียมจะได้เปรียบเรื่องความน่าไว้วางใจเนื่องจากเป็นพี่ใหญ่ในวงการนี้ แต่ตัวเกาะอย่าง Cardano ก็พยายามหาจุดขายของตัวเอง เช่นการเน้นไปที่ลูกค้าที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน โบรคเกอร์ หรือการจ่ายเงินต่างๆ หรืออย่างบนเกาะ Polkadot ที่สร้างเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อหลายบล็อกเชนให้ใช้งานด้วยกันได้ นักธุรกิจก็จะสามารถมองธุรกิจของตัวเองได้ว่าเหมาะสมที่จะสร้างบนเกาะไหนมากกว่า
แต่ตัวเกาะอย่าง Binance Smart Chain ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้นแทบไม่ได้แตกต่างจากเกาะอีเธอเลียมเลย เนื่องจากเกาะอีเธอเลียมนั้นเป็น Open Source นั่นแปลว่า ใครก็สามารถเข้ามาดูได้ และสามารถคัดลอก Code และเทคโนโลยีของเกาะอีเธอเลียมไปได้ทั้งหมดเลยและ Binance Smart Chain หรือ BSC นี่แหละ ที่เรียกได้ว่าเป็นเกาะที่คัดลอกมาจากเกาะอีเธอเลียม แต่ต่างกันที่ค่าธรรมเนียมที่ถูกลง และความเร็วที่ค่อนข้างเร็วกว่าบล็อกเชนอีเธอเลียม นั่นทำให้หลายคนเริ่มหันมาใช้ BSC และทำให้เหรียญ BNB ที่เป็นสกุลเงินหลักของเกาะนี้เริ่มมีค่า และราคาขึ้นเรี่อยๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า BSC จะเหมือนกับอีเธอเลียมทุกอย่าง สิ่งที่ต่างกันก็คือระดับความ Centralized ของบล็อกเชนทั้งสองอัน
อย่างที่อธิบายไปในบทที่แล้วว่า ถ้าหากเรามีธนาคารกลางที่สามารถอนุมัติการธุรกรรมของเราได้เพียงผู้เดียวก็คือ Centralized Finance แต่ถ้าหากคนทั้งเกาะเป็นผู้อนุมัตินั่นแปลว่านี่คือ Decentralized Finance
Binance Smart Chain จะค่อนข้าง Centralized กว่า เนื่องจากจำนวนนักขุดหรือ Validator ค่อนข้างน้อย โดยจะมีนักขุดที่ถูกเลือกขึ้นมาแค่ 21 คน และทั้ง 21 คนที่จะมาเป็นนักขุดและผู้ที่มีสิทธิ์ในการโหวตจะต้องมี BNB อยู่อย่างน้อย 10,000BNB ที่ถูกล็อคอยู่ในระบบ
แต่อีเธอเลียมนั้นมีนักขุดหลายหมื่นคนอยู่ทั่วมุมโลกและไม่จำเป็นต้องมีเหรียญ ETH เยอะเป็นหมื่นเหรียญ และไม่จำเป็นต้องมีการโหวตกัน กว่าหนึ่งการโอนจะถูกอนุมัติ จะต้องมีนักขุดอีเธอเลียมมากกว่าหนึ่งร้อยคนยอมรับการโอนนั้นๆอีกด้วย ต่างจาก BSC ที่ให้ 21 คนนั้นตัดสินเลย
ซึ่งก็จะโยงมาที่ข้อแตกต่างทางด้านเทคนิคของการอนุมัติการโอนที่นักขุดจะสามารถใช้ได้ เนื่องจากการขุดเหรียญในปัจจุบันก็มีวิธีขุดหลายแบบ เช่น การขุดโดยใช้คอมพิวเตอร์ Proof of Work (PoW) การขุดแบบนำเงินเข้ามาล็อคไว้ในระบบ Proof of Stake (PoS) และสามารถย่อย PoS ออกมาเป็น DPos หรือ Delegated Proof of Stake ก็คือการขุดแบบมีประชาธิปไตย หรือการขุดแบบมีตัวกลาง Proof of Authority (PoA) ซึ่งสี่แบบนี้ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
อธิบายคร่าวๆก็คือ
Proof of Work (PoW) นั้นก็เหมือนการขุดบิทคอยน์ทุกวันนี้ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์และไฟฟ้าในการตรวจสอบการโอน ทุกคนแข่งขันกันเพื่อจะแก้โจทย์ให้สำเร็จก่อนถึงจะได้เงินส่วนแบ่งไป จึงทำให้การตรวจสอบการโอนช้าบ้าง
Proof of Stake (PoS) คือการนำเงินเราจำนวนหนึ่งไปค้ำประกันไว้กับบล็อกเชนนั้นๆเพื่อใช้ตรวจสอบการโอน ซึ่งไม่ได้เป็นการแข่งขันแบบ PoW จึงทำให้การตรวจสอบการโอนนั้นเร็วขึ้นมาก
Delegated Proof of Stake (DPoS) ก็คือการที่ผู้คนที่อยากเข้ามาเป็นคนขุดจะถือเหรียญของบล็อกเชนนั้นๆ และผู้ถือเหรียญจะมีการเลือกตั้งและลงความเห็นว่าจะให้ใครเป็นคนขุดบ้าง จะมีกี่คนก็แล้วแต่คนสร้างจะตั้งขึ้นเลย และคนที่ถูกเลือกก็จะเข้ามาทำการตรวจสอบการโอน
Proof of Authority (PoA) ก็คือการให้คนไม่กี่คนเข้ามาตรวจสอบการโอนต่างๆ ซึ่งก็เหมือนธนาคารของเราทุกวันนี้

ซึ่งนำมาถึงเรื่องเครือข่ายนักขุด เพราะถ้าหากนักขุดทำงานระบบ PoW หรือ PoS จะมีจำนวนนักขุดกี่หมื่นคนก็ได้ ทำให้เป็นระบบที่ Decentralized มากๆ อย่างของอีเธอเลียมมีเครือข่ายนักขุดหลายหมื่นคนทำให้ระบบค่อนข้างมั่นคง เพราะถ้าหากมีคนร้อยคนต้องการที่จะเลิกขุดอีเธอเลียม ก็ยังมีนัดขุดอีกหลายหมื่นคนที่ยังสามารถทำหน้าที่เหมือนกัน ระบบของอีเธอเลียมก็จะยังทำงานได้อยู่ แต่ข้อเสียก็อาจจะทำให้การโอนเงินหนึ่งครั้งค่อนข้างช้าในบางที
ต่างจาก BSC ที่ใช้ Delegated Proof of Stake และ Proof of Authority ควบคู่กัน ซึ่งทำให้มีนักขุดน้อยและกลายเป็นระบบค่อนข้าง Centralized กว่าอีเธอเลียมมาก และอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ถ้าหากนักขุดที่ถูกเลือกมาทั้ง 21 คนนั้นรวมใจกันหยุดยืนยันการโอน หรือคนใดคนหนึ่งล่มลงไป ก็อาจจะทำให้ระบบของตัว Binance Smart Chain ล่มได้เลยทันที
สุดท้ายเราจะพูดว่า Decentralized ดีกว่า Centralized ก็ไม่ได้ วิธีขุด PoW, PoS, DPoS, PoA ก็ไม่มีใครดีกว่าใคร ทุกอย่างอยู่ที่ความเหมาะสม แล้วแต่คนเลยที่จะไว้ใจเลือกใช้บริการแบบไหน เพราะก็ไม่ใช่ว่าทุกการขุด DPoS จะต้องเหมือนกับ BSC หรือทุกการขุดแบบ PoW จะเหมือนอีเธอเลียม เพราะแต่ละบล็อกเชนก็นำวิธีการต่างๆไปดัดแปลงให้เข้ากับตัวเองทั้งนั้น
ดังนั้นจะพูดว่าอีเธอเลียมดีกว่า BSC ก็ไม่ได้ เพราะก็ไม่ใช่ว่าอีเธอเลียมไม่มีข้อเสีย บางทีที่มีการโอนเงินเยอะมากๆในช่วงเวลาเดียวกัน ก็สามารถทำให้ระบบของอีเธอเลียมนั้นทำงานช้าได้ และยังมีค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นหลายเท่าตัวอีก ซึ่ง BSC ก็สามารถแก้ปัญหานั้นได้ โดยการปรับระบบให้มันมีตัวกลางมากขึ้น ทำให้ระบบเร็วและค่าธรรมเนียมถูกลง
สองเกาะนี้ก็เป็นคู่แข่งที่น่าติดตามมากเหมือนกัน เพราะว่าเกาะของ Binance Smart Chain นั้น ค่อนข้างเหมือนกับอีเธอเลียมมาก บริษัทที่อยู่บนเกาะ Binance Smart Chain ก็สามารถย้ายบริษัทมาอยู่เกาะอีเธอเลียมได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องปรับโครงสร้างของบริษัทใดๆเลยเหมือนกัน เช่นเดียวกันกับธุรกิจบนเกาะอีเธอเลียมก็สามารถย้ายไปเกาะ Binance Smart Chain ได้ทันทีเช่นเดียวกัน จึงอยู่ที่การอัพเดทระบบของอีเธอเลียม หรือ ETH V.2 ที่เป็นที่พูดถึงกันแล้วแหละ ว่าจะสามารถปรับให้ระบบเร็วขึ้นค่าธรรมเนียมถูกลงได้ไหม
แต่ละเกาะก็มีข้อดีข้อเสีย และมีจุดขายของตัวเองต่างกันไป ที่จะดึงดูดธุรกิจต่างๆเข้ามาบนเกาะ ทำให้มีความน่าสนใจบนโลกคริปโทมากขึ้น เพราะไม่มีใครสามารถเป็น Monopoly ได้ขนาดนั้นบนโลกคริปโทมีแต่การแข่งขันว่าของใครเจ๋งของใครน่าสนใจ คนก็จะแห่กันเข้าไปใช้สินค้าและบริการต่างๆ ยิ่งการแข่งขันสูงแต่ละเกาะแต่ละบริษัทก็จะยิ่งพัฒนาระบบของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆมากขึ้น เพื่อรองรับลูกค้าใหม่ได้เยอะขึ้นในอนาคต
ในตอนหน้าเราจะมาพูดกันถึงเรื่อง Stable Coins กัน ว่า USDT, BUSD, USDC, DAI ว่าแต่ละเหรียญต่างกันอย่างไร มีความสำคัญกับการเทรดของเราอย่างไรบ้าง
สามารถติดตามตอนต่อไปได้ทาง Medium แล้วก็ Facebook Page: มะ เขียน นะคะ